“อินเด็กซ์” เจาะตลาด ตปท. ชู 6 ธุรกิจใหม่หวัง 1.9 พันล้าน

อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ” บริษัทครีเอทีฟอีเวนต์อันดับ 7 ของโลก เผยยอดรวมธุรกิจอีเวนท์ติดลบ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 11,400 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 13,500 ล้านบาทในปี 2556 มั่นใจเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไม่สะดุดตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เตรียมกลยุทธ์ใหม่ “4C” ฉลอง 25 ปี ชู 6 ธุรกิจใหม่ช่วยดันรายได้โต 15% พร้อมกำหนดเป้า 5 ปีทำรายได้ในประเทศ และต่างประเทศในสัดส่วนเท่ากันที่ 50:50%
 
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทครีเอทีฟอีเวนต์อันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับ 7 ของโลก จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Special Events Magazine สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ธุรกิจอีเวนต์มาร์เกตติ้งเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์ด้านต่างๆ โดยเฉพาะในปี 2557 ซึ่งประเทศไทยต้องประสบปัญหาความไม่สงบทางการเมืองจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของธุรกิจติดลบประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 11,400 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 13,500 ล้านบาทในปี 2556
 
ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ก็ติดลบประมาณ 10% เช่นกัน โดยมีรายได้ประมาณ 1,625 ล้านบาท แต่คาดว่าในปี 2558 สถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีการเติบโตขึ้นประมาณ 15% คิดเป็นรายได้ประมาณ 1,900 ล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมจะเติบโตประมาณ 5-10% มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท
 
“ภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนประมาณไตรมาสที่สองของปี 2558 ต่อเนื่องจนถึงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่านักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ จะเริ่มใช้งบประมาณการตลาดในการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ชะลอการใช้จ่ายมาตั้งแต่ปี 2557 โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะแข่งขันกันดุเดือดมากที่สุดคือผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทุกชนิด ทั้งน้ำอัดลม ชาเขียว และอื่นๆ ที่จะเริ่มทำการตลาดตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นไป”

นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า การทำตลาดของแบรนด์ต่างๆ ในปี 2558 จะลดเรื่องการสร้างแบรนด์ลง แต่จะเน้นเรื่องการแข่งขันในด้านต่างๆ มากขึ้น โดยนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ จะเริ่มมีการใช้สื่อประเภทต่างๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ขณะที่การเปิดตัวของทีวีดิจิตอลในปีที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่สามารถดำเนินการกระจายกล่องทีวีดิจิตอลให้ครอบคลุมฐานผู้ชมได้อย่างทั่วถึง จึงอาจส่งผลให้การใช้สื่อทีวีดิจิตอลจะยังมีสัดส่วนไม่มากนัก
       
สำหรับปี 2558 ซึ่งถือเป็นปีที่ 25 ในการดำเนินธุรกิจอีเวนต์มาร์เกตติ้ง บริษัทฯ จึงได้มีการวางกลยุทธ์การตลาดโดยยึดหลัก “4C” (โฟร์ซี) ได้แก่ 1. Creativity ในการตอกย้ำความเป็นผู้นำให้กับธุรกิจภายใต้ความคิดสร้างสรรค์ 2. Connectivity เชื่อมโยงการบริหารงานในเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ 3. Community สร้างดีเอ็นเอพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์สู่สังคม และ 4. Concrete สร้างความแม่นยำและมั่นคงให้กับรายได้และองค์กร
       
นายเกรียงไกรยังกล่าวถึงแผนการตลาดต่างประเทศด้วยว่า หลังจากที่บริษัทใช้เวลาศึกษาตลาดมาตั้งแต่ปี 2552 และเริ่มเปิดสาขาแรกในประเทศพม่าเมื่อประมาณปี 2553 ปัจจุบันมีสาขาในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยแต่ละปีมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 5% โดยล่าสุดในปี 2557 สามารถทำรายได้ประมาณ 10% ของรายได้รวม หรือประมาณ 150 ล้านบาท
       
“บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเปิดตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนนับจากนี้จะเริ่มทำการตลาดที่กรุงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นจะเริ่มทำตลาดประเทศฮ่องกงภายใน 3 เดือน และเริ่มรุกสู่ตลาดยุโรปในช่วงกลางปี ก่อนที่จะเปิดตลาดสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะทำรายได้ในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 50:50% ภายใน 5 ปี”

นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังมีการกำหนดแผนงานเพื่อให้สามารถคาดการณ์รายได้ในแต่ละปีภายใน 5 ปีได้อย่างแม่นยำ โดยเน้นการเปิดตลาดใน 6 กลุ่มธุรกิจใหม่ซึ่งคาดว่าในปี 2558 จะเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯ 656 ล้านบาท ได้แก่ 1. งานประเภทอีเวนต์ประจำปีและการจัดงานแสดงพิเศษในช่วงฤดูท่องเที่ยว (Festive Event & Seasonal show) เช่น การจัดงานเคานต์ดาวน์และงานสงกรานต์ทั้งในประเทศไทยและพม่า รวมถึงการจัดงานแสดง “ดันดารี” ณ พระราชวังทองพุกาม (Bagan Golden Palace) ณ เมืองพุกาม ประเทศพม่า ในช่วงไฮซีซันคือเดือน พ.ย.-มี.ค.ของทุกปี คาดว่าจะทำรายได้ในปี 2558 ประมาณ 85 ล้านบาท
       
       2. การบริหารจัดการเทรดโชว์และเอ็กซิบิชันอย่างมืออาชีพ (Trade Show & Professional Exhibition Organizer) โดยภายในปีนี้บริษัทฯ จะเริ่มจัดงานในประเทศไทย หลังจากที่มีการจัดในประเทศพม่าประมาณ 4-5 งานต่อปี ได้แก่ งานด้านอาหารและเครื่องดื่ม งานด้านโรงแรม ร้านอาหารและธุรกิจจัดเลี้ยง งานด้านการแพทย์และสุขภาพ งานด้านก่อสร้างและสถาปนิก และงานด้านการศึกษา คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 25 ล้านบาท
       
       3. สื่ออินเตอร์แอ็กทีฟ ณ จุดขาย (Interactive In-store Media) ถือเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ที่ได้มีการพัฒนาสื่อดิจิตอลที่มีความหลากหลายตอบโจทย์การใช้งานในด้านต่างๆ เช่น “อินเตอร์แอ็กทีฟ คีออสก์” (Interactive Kiosk) ที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลในระบบสัมผัส, “ดิจิตอล ไพรส์ แท็ก” (Digital Price Tag) ที่สามารถติดตั้งไว้ที่ชั้นวางสินค้าต่างๆ เพื่อใช้แสดงราคา เสนอวิดีโอโฆษณา และจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้นๆ, “อินเตอร์แอ็กทีฟ ฟลอร์” (Interactive Floor) ซึ่งเป็นการฉายภาพลงบนพื้นจากโปรเจกเตอร์ที่สามารถดึงดูดให้ผู้คนมีส่วนร่วมได้ และ “ดิจิตอล ทรานส์พาเรนต์ ฟริดจ์” (Digital Transparent Fridge) คือ ตู้แช่เครื่องดื่มที่เพิ่มพื้นที่สำหรับการโฆษณาช่วยโปรโมตสินค้าให้แก่แบรนด์ต่างๆ เป็นต้น โดยคาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 180 ล้านบาท
       
       4. งานประเภทนิทรรศการถาวร หรือพิพิธภัณฑ์ (Permanent Exhibition & Museum) ซึ่งเป็นการผนวกความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนผัง การออกแบบโครงสร้าง กราฟิก ผนวกกับเนื้อหา เทคนิคการจัดแสดง และระบบแสง เสียงภายในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบโจทย์การเติบโตของตลาดพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการระยะยาวซึ่งเป็นธุรกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท
       
       5. การผลิตรายการโทรทัศน์ (Creative Content TV Program) โดยบริษัทฯ มีทีมงานผลิตรายการโทรทัศน์มาเป็นระยะเวลาถึง 10 ปี ประกอบกับการเติบโตของทีวีดิจิตอลในประเทศไทย ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการผลิตรายการหลากหลายรูปแบบป้อนให้แก่ทีวีดิจิตอลช่องต่างๆ อย่างก้าวกระโดด ทั้งยังผลิตรายการป้อนให้แก่ช่อง MRTV4 ช่องยอดนิยมที่สุดในประเทศพม่า คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 80 ล้านบาท
       
       6. การบริการด้านการตลาดประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN Hub) นับเป็นอีกหนึ่งช่องรายได้ใหม่ที่มีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด จนในขณะนี้บริษัทฯ กลายเป็นผู้นำในตลาดอาเซียนโดยเฉพาะในพม่าที่ไม่ได้ทำเพียงแค่อีเวนต์ แต่ยกรูปแบบการทำธุรกิจในประเทศไทยไปด้วย ทำให้ตอบสนองและครอบคลุมงานด้านการตลาดในทุกมิติ ช่วยเชื่อมโยงลูกค้าทั้งจากเมืองไทยและต่างประเทศเข้าสู่ตลาดอาเซียน รวมถึงการดึงเม็ดเงินกลับสู่ประเทศไทยอีกด้วย โดยมีลูกค้าทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งไทย และพม่า รวมถึงแบรนด์ระดับโลกอีกด้วย คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 186 ล้านบาท

อนึ่ง ปัจจุบันบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) มีสาขาอยู่ในประเทศพม่า เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ดำเนินธุรกิจ 9 กลุ่ม ได้แก่ 1. Creative Event & Production Supply งานครีเอทีฟอีเวนต์และการบริการด้านอุปกรณ์ 2. Wings of ASEAN การดำเนินงานด้านการตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน 3. Innovative Creator ที่ปรึกษาในการศึกษาความเป็นไปได้ การวางแผนกลยุทธ์เพื่อการจัดงาน 4. Research Consulting ธุรกิจให้คำปรึกษาข้อมูลวิจัยทางการตลาดในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
       
       5. Communications หน่วยงานสร้างสรรค์ทุกแผนการสื่อสารแบบครบวงจร 6. Creative TV & Multimedia Creator ธุรกิจสร้างสรรค์และผลิตรายการโทรทัศน์ และงานด้านมัลติมีเดีย 7. Branding & Show Biz บริการด้านการสร้างแบรนด์ให้กับเมืองหรือจังหวัด และจัดการแสดง 8. Stage – exhibition Design & Production ด้านการออกแบบและจัดแสดงพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ และ 9. Digital & Interactive Media Agency การวางกลยุทธ์สื่อนวัตกรรมใหม่ ที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์

ที่มา: http://manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9580000009879