“วิชัย ทองแตง” ขอโตแบบ “เจ้าพ่อเครือข่าย”

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ “วิชัย ทองแตง” มาอย่างดี จากทนายความที่ผันตัว มาสู่การเป็น นักลงทุน จนได้ฉายา พ่อมดตลาดหุ้น หลังจากที่เขาได้ทำการเข้าไปลงทุนในหลายบริษัท และหลากหลายธุรกิจ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ชื่อของวิชัย ทองแตงขึ้นไปอยู่บนทำเนียบมหาเศรษฐีไทยที่ในอันดับที่ 13 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จัดอันดับโดยนิตยสารฟอบส์

แต่สิ่งหนึ่งโดดเด่นออกมาจากตัววิชัยในยุคนี้ไม่ได้การแค่การลงทุนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เขายังเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างธุรกิจภายใต้โมเดลของการทำคอนโซลิเดท Consolidate หรือการผนึกกำลังของเครือข่ายธุรกิจเดียวกันให้เป็นกลุ่มก้อน

ช่วงหนึ่งที่วิชัย ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทใหญ่ๆ ปัญหาส่วนใหญ่จะมีปัญหาด้านการเงิน ทำให้วิชัยเห็นโครงสร้างการเงิน และเรื่องหุ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุน วิชัยได้ทำการซื้อหุ้นโรงพยาบาลทั้งในเครือเปาโล พญาไท และกรุงเทพ และหลังจากนั้นได้ทำการผนึกกำลังทั้ง 3 โรงพยาบาลเข้าด้วยกัน ถือเป็นก้าวแรกๆ วิชัยได้ใช้กลยุทธ์แบบ Consolidate

ต่อมา วิชัย ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพย์ทีวี ในนามของ CTH หรือบริษัท เคเบิ้ล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด นอกจากจะสร้างความฮือฮาด้วยการชนะการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอด ฟุตบอล พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ หรือ EPL เฉือนค่ายทรูวิชั่นส์เจ้าเก่าที่ครองลิขสิทธิ์มายาวนานไปได้แล้ว เป้าหมายของ CTH ในเวลานั้น ยังต้องการผนึกเครือข่ายเคเบิลท้องถิ่น เป็นตัวกลางในการจัดหาคอนเท้นท์ทั้งในและต่างประเทศ ป้อนให้กับเคเบิลท้องถิ่น ให้แข่งขันกับรายใหญ่อย่างทรู วิชั่นส์ แต่โปรเจคส์นั้นก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน

ล่าสุดวิชัยได้ จับมือกับนักธุรกิจทุกภูมิภาค เพื่อเชื่อมเครือข่ายธุรกิจทั้งประเทศ จัดตั้งเป็น บริษัท ลิงค์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยวิชัย ทองแตงถือหุ้นในสัดส่วน 25% และกลุ่มนักธุรกิจภูธรอีก 28 รายถือรวมกัน 75%

คอนเซ็ปต์ของลิงค์ เน็ตเวิร์คเป็นโมเดลที่คล้ายคลึงกับการสร้างเครือข่าย คล้ายกับโมเดลการทำ Consolidate ที่ผ่านมา โดยเป็นการรวมพันธมิตรนักธุรกิจแต่ละภูมิภาค เพื่อสร้างอำนาจกับผู้ค้ารายใหญ่ในตลาด อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า โดยอาศัยช่องทางร้านค้าโชว์ห่วยเป็นหลักในการขายสินค้า

ลิงค์ เน็ตเวิร์คจะทำหน้าที่เป็นบริษัทแม่ในการกำหนดนโยบาย และเป็น Distributer ในการช่วยกระจายสินค้า โดยจะ มีผู้ดูแลประจำ 5 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้/ตะวันตก นำสินค้าไปกระจายให้กับ ลิงค์ เน็ตเวิร์ค ในแต่ละจังหวัด กระจายสินค้าไปสู่ร้านค้าทั่วทั้งจังหวัด

ในช่วงแรกจะเริ่มต้นจัดจำหน่ายสินค้าและบริการใน 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.สินค้าอุปโภคบริโภค 2.สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน 3.มือถือและอุปกรณ์สื่อสาร 4.ทีวี และอินเตอร์เน็ต 5.บริการทางการเงิน และ 6.สินค้า SME และสินค้าประจำท้องถิ่น

ในปัจจุบันมีช่องทางการขายผ่านร้านโชว์ห่วยอยู่แล้วกว่า 150,000 ร้านค้า และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 300,000 ร้านค้าในปีหน้า

วิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริษัท ลิงค์ เน็ตเวิร์ค จำกัด กล่าวว่า การรวมตัวกันครั้งนี้เป็นแนวคิดที่เห็นจากสภาพตลาด และการแข่งขันในปัจจุบัน การรวมตัวกันจะก่อให้เกิด “พลัง” เพิ่มความแข็งแกร่ง ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้มาก และเพิ่มกำไรได้อีก รวมทั้งเป็นการช่วยพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่นักธุรกิจรากหญ้า และผู้ประกอบการ SME ได้

“ดูจากรายได้ของ 28 รายรวมกันมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท แต่หลังจากรวมกันเป็น ลิงค์ เน็ตเวิร์ค แล้ว ภายในปี 2559 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท”

วิชัยได้แบ่งการทำธุรกิจออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน เฟสที่หนึ่งคือการสร้างเครือข่ายให้แข็งแกร่ง เฟสที่สองเตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเฟสที่สามเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่าย เพื่อรองรับตลาดอาเซียน หรือ AEC

ในงานแถลงข่าว จึงได้เห็นเครือข่ายนักธุรกิจมากหน้าหลายตา อย่างธนกร วีรชาติยานุกูล เจ้าของ ศูนย์การค้ายูดีทาวน์ จังหวัดอุดรธานี มาร่วมหุ้นดูแลภาคอีสานตอนเหนือ ที่มองว่า การแข่งขันในตลาดตอนนี้รุนแรงอย่างมาก ทำให้เกิดช่องว่าง และมาร์จิ้นที่ได้ก็เหลือน้อย การที่มาร่วมมือกันนอกจากจะได้พลังที่แข็งแกร่งแล้ว แต่เราจะใส่ระบบการจัดการที่ดึ ใส่เทคโนโลยีให้ทันสมัย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้ดีขึ้น

รวมทั้งพันธมิตรอย่าง อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ บอกว่า ในอนาคตอาจจะนำกล่อง GMM Z มาวางขายผ่านลิงค์ เน็ตเวิร์ค เพื่อเป็นช่องทางขยายตลาดสู่ต่างจังหวัดให้มากขึ้น รวมไปถึงอาจจะมีการคัดเลือกสินค้าจาก O Shopping โฮมช้อปปิ้งในเครือของแกรมมี่เข้ามาวางขายในลิงค์ เน็ตเวิร์คด้วยเช่นกัน