15 วิธี ทำตลาดผ่านออนไลน์ให้เวิร์ค ปี 2016

ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้หลายคนอาจกำลังวางแผนการท่องเที่ยวเพื่อให้รางวัลตัวเองกับความสำเร็จในปีที่ผ่านมา แต่สำหรับเจ้าของกิจการที่ดี ช่วงเวลานี้ ควรเป็นเวลาที่ใช้ในการวางแผนการตลาดสำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง เทคนิคการตลาดออนไลน์แบบใดจะเวิร์คในปีหน้านี้ มาดูกัน!
 
1. Google AdWords
 
เริ่มประมูลซื้อคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับธุรกิจของคุณบ้างหรือยัง ปัจจุบัน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามาค้นหาข้อมูลจากกูเกิ้ลมากถึง 40,000 ครั้งต่อวินาที หรือ 3.5 พันล้านครั้งต่อวัน แน่นอนว่า ใครๆ ก็หาข้อมูลจากเสิร์ชเอ็นจินก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ดังนั้น การซื้อคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตรงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่การค้าขายของคุณสามารถช่วยชยายธุรกิจให้คุณได้
 
2. ดีไซน์หน้าแลนดิ้งเพจ
 
จากข้อมูลของ Search Engine Land พบว่ามีเพียง 25% ของผู้ลงโฆษณาที่มี Conversion Rate สูงกว่า 5% แล้วเราจะทำอย่างไรให้ทะลุแนวต้านที่ 10% ไปได้หากลงโฆษณาในกูเกิ้ล คำตอบก็คือ การทำแลนดิ้งเพจแบบเฉพาะเจาะจง
 
โดยสามารถใช้บริการอย่าง Unbounceเพื่อสร้างหน้าแลนดิ้งเพจ และทำการทดลองแบบ A/B Test โดยไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษด้านไอทีใดๆ
 
Search Engine Land ยังระบุด้วยว่าการที่จะสามารถทำหน้าแลนดิ้งให้ประสบความสำเร็จมียอด Conversion Rate เกินกว่า 10% คุณต้องทำการทดลองด้วยการสร้างหน้าแลนดิ้งที่แตกต่างกัน 10 แบบ เพื่อดูว่าแบบไหนที่เวิร์คที่สุด แล้วจะรออะไรกันอยู่?
 
3. Moz
 
เคยสงสัยไหมว่าทำไมคู่แข่งถึงขึ้นอันดับดีกว่าในผลการค้นหาของกูเกิ้ล? สามารถขึ้นอับดับท็อป 5 ได้ ในขณะที่เว็บไซต์ของคุณถูกฝังอยู่ในหน้าที่ 3 กว่าจะหาเจอ ซอฟต์แวร์ Mozช่วยคุณได้!
 
Moz จะช่วยเปรียบเทียบตัวเลขต่างๆ ของคุณกับเว็บคู่แข่ง อย่างตัวเลข Domain Authority ซึ่งก็คือคะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ (เต็ม 100 คะแนน) ที่Mozสามารถคาดการณ์ได้ว่าเว็บไซต์จะอยู่ในอับดับใดในหน้าเวิร์ชเอ็นจิน
 
เมื่อคุณรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมคู่แข่งจึงทำได้ดีในหน้าเสิร์ชเอ็นจิน คุณก็สามารถนำมาปรับและสร้างกลยุทธ์ให้กับเว็บไซต์ของตนเองได้
 
4. สร้างพันธมิตร
 
เปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจที่ทำอยู่ด้วยการเขียนคอนเทนต์ให้กับเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีในการสร้างทราฟฟิคแบบอ้างอิงกลับมายังเว็บไซต์ของเราจากผู้อ่านบทความที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราให้มากขึ้น
 
ลิสต์รายชื่อเว็บไซต์ที่โดดเด่นและน่าร่วมงานด้วยออกมาสัก 10 เว็บเพื่อที่จะส่งบทความไปลง แต่ต้องมั่นใจว่าเนื้อหาที่เขียนนั้นน่าสนใจจริงๆ และส่งสารที่คุณต้องการจะสื่อชัดเจนโดยแชร์องค์ความรู้ที่มีให้กับเว็บไซต์ต่างๆ
 
5. Sidekick
 
หากคุณใช้การส่งอีเมลหาลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ แถมยังโทรศัพท์ไปแล้วด้วย แต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับกลับมา เห็นทีว่าคงได้เวลายกธงขาวแล้วใช่ไหม? คำตอบคือไม่ใช่
 
Sidekick บริการจาก HubSpot จะช่วยติดตามผลการส่งอีเมลโฆษณาของคุณว่าใครเปิดอีเมลบ้าง และมีใครคลิกที่ลิงค์ไหนบ้างในอีเมล
 
อาจจะดูเหมือนพวกโรคจิตแอบสืบพฤติกรรมคนอื่น แต่สุดท้ายแล้ว หากคุณทราบว่ามีใครบ้างที่เปิดอีเมลของคุณอ่านเป็น 10 ครั้ง ก็แสดงว่าคนนั้นสนใจสินค้าบริการของคุณ Sidekick อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในกลยุทธ์การทำธุรกิจของคุณได้เลยทีเดียว ที่สำคัญบริการของ Sidekick มีแพ็คเกจแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย
 
6. Postable
 
Postableถือเป็นเครื่องมือออนไลน์อีกอย่างที่น่าสนใจในการเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า เพราะเว็บไซต์แห่งนี้ให้บริการส่งการ์ดสวยๆ ที่คุณสามารถดีไซน์ออนไลน์แล้วทางเว็บไซต์จะพิมพ์ออกมาแล้วส่งเป็นการ์ดสวยๆ ไปถึงมือผู้รับให้ โดยคุณสามารถเลือกใช้รูปแบบการ์ดที่มีอยู่แล้ว แต่ปรับให้เข้ากับแบรนด์ของคุณได้ ราคาค่าบริการแพ็คเกจถูกสุดอยู่ที่ 3.60 เหรียญ
 
7. DisplayRemarketing
 
เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมกางเกงยีนต์ที่คุณคลิกดูในเว็บช็อปปิ้งออนไลน์ถึงได้มาปรากฎเป็นโฆษณาอยู่ข้างๆ ในหน้าเฟซบุคของคุณในอีก 10 นาทีต่อมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ นี่คือการใช้เทคนิคโฆษณาแบบ Display Remarketing ถือเป็นวิธีที่ดีมากสำหรับการติดตามลูกค้าที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือทำสิ่งที่คุณต้องการภายในเว็บไซต์ของคุณ ได้เห็นสิ่งที่เขาสนใจอีกครั้ง
 
นอกจากนั้น Display Remarketing ยังช่วยสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ของเรา และเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำมากในการดึงลูกค้าให้กลับเข้าสู่เว็บไซต์ของเราอีกครั้งและตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งการสร้างแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งนี้ อาจมีราคาถูกถึง 0.30 เหรียญต่อคลิกได้หากคุณออกแบบแคมเปญดีๆ
 
8. สร้างคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอ
 
การโฆษณาแบบวิดีโอออนไลน์นั้นกำลังบูมอย่างมาก และเราก็สามารถร่วมใช้เทคนิคนี้ในการทำการตลาดได้เช่นกัน จากตัวเลขสถิติจากเฟซบุคพบว่าจำนวนคลิปวิดีโอที่โพสต์ลงในเฟซบุคต่อผู้ใช้ในสหรัฐฯ นั้นเพิ่มสูงขึ้นถึง 94% ในช่วงปีที่แล้ว แถมคลิปวิดีโอบนโฮมเพจของเว็บต่างๆ ก็มีอัตรา Conversion Rate ที่สูงขึ้นถึงกว่า 20% จากตัวเลขของ Adelie Studios
 
ดังนั้น คุณควรโพสต์คลิปวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ของคุณให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้ดู สิ่งสำคัญคือการเขียนสคริปท์ของวิดีโอให้น่าสนใจ ที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมก็คือ อยากให้การสร้างคอนเทนต์วิดีโอเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การทำการตลาดของคุณในปี 2016 นี้ 
 
9. บูสโพสต์ในเฟซบุคด้วยเงิน 5 เหรียญ
 
หากคุณเขียนนิยายชั้นดีแค่ไม่มีใครรู้จักและไม่มีคนอ่าน จะมีประโยชน์อะไร? รีเบคก้า โคลแมน กูรูด้านการตลาดผ่านโซเชี่ยล ทดลองทำการบูสโพสต์ในเฟซบุคด้วยเงินเพียง 5 เหรียญ ผลที่ได้นั้นยอดเยี่ยมมาก ยอดการเข้าถึงผู้ชมสูงขึ้นมาก มีคนเข้ามาคอมเมนท์เยอะขึ้น แถมยังมีคนแชร์โพสต์ออกไปด้วย 
 
ดังนั้นในปี 2016 นี้ หากอยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น คุณก็ต้องลงทุนบูสโพสต์บ้างเป็นครั้งคราว อาจลงทุนครั้งละเพียง 5 เหรียญ เพื่อให้คอนเทนท์ได้เห็นในวงกว้าง ไม่เช่นนั้น แบรนด์ของคุณก็อาจไม่เป็นที่สนใจ
 
10. ลงโฆษณาอินสตาแกรม
 
ลงทุนจ้างช่างภาพอาชีพถ่ายภาพสินค้าและธุรกิจของคุณซะ แล้วนำรูปภาพเหล่านั้นไปโพสต์ลงอินสตาแกรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของคุณได้มองเห็นแบรนด์ในอีกช่องทาง และปัจจุบันอินสตาแกรมก็มีบริการลงโฆษณาผ่านอินสตาแกรมแล้ว 
 
แต่หากคุณไม่อยากเสียเงินซื้อแพ็คเกจโฆษณา แต่ต้องการเพิ่มยอดฟอลโลวเวอร์แบบออร์แกนิกก็สามารถใช้กลยุท์การติดตามคนอื่นในวงการ แล้วชักชวนให้เขามาติดตามคุณบ้าง แล้วคุณจะได้เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและอินฟลูเอนเซอร์ที่แข็งแกร่งและสามารช่วยเหลือกันทางธุรกิจได้
 
11. การตลาดผ่านอีเมล
 
ข้อมูลจาก Marketing Sherpa ระบุว่านักการตลาด 60% เชื่อว่า การทำการตลาดผ่านอีเมลนั้นมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดี
 
ดังนั้น ปี 2016 นี้อย่าลืมหาทางเก็บข้อมูลอีเมลมาให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเก็บจากลูกค้าที่หน้าเว็บไซต์ของคุณเอง หรือการแลกเปลี่ยนนามบัตรกับคู่ค้าในงานแฟร์ต่างๆ ยิ่งมีรายชื่ออีเมลมากเท่าไหร่และยิ่งคุณใช้ความพยายามในการสื่อสารออกไปให้น่าประทับใจ คุณก็จะยิ่งใช้เงินในการทำการตลาดน้อยลงเท่านั้น
 
12. คำนึงถึงการใช้งานผ่านโมบายเป็นหลัก
 
โลกนี้เปลี่ยนเป็นโลกของโมบายอย่างเป็นทางการแล้ว ข้อมูลจากกูเกิ้ลระบุ ปัจจุบันผู้ใช้ค้นหาข้อมูลผ่านโมบายมากกว่าเดสก์ทอปแล้ว 
 
แล้วเว็บไซต์ของคุณออกแบบเพื่อรองรับการเข้าชมผ่านมือถือหรือยัง? ที่สำคัญอย่าลืมใส่วิธีการติดต่อให้ชัดเจนด้วยในหน้าเว็บสำหรับโมบาย เช่น ปรับให้มีเบอร์โทรศัพท์
 
13. Google Analytics
 
Google Analytics ช่วยให้คุณรู้ว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้คุณปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้ตัวเลขสถิติต่างๆ สูงขึ้นได้อย่างตรงจุด ดังนั้น หาเวลาสักวันละ 10 นาทีเพื่อเข้าไปดูข้อมูลและวิเคราะห์ทราฟฟิคต่างๆ ของเว็บคุณ
 
14. รีวิวออนไลน์
 
Marketing Land เผยว่า 90% ของการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้า ได้รับอิทธิพลมาจากการอ่านรีวิวออนไลน์ ดังนั้น สร้างอีเมลเท็มเพลตเพื่อส่งออกไปถามความพึงพอใจกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าของเราไปแล้วนำมาเผยแพร่ในลักษณะรีวิวออนไลน์ และอย่าลืมอัพเดทข้อมูลบนหน้า Google+ หรือ Yelp ของคุณให้แสดงด้านดีของการบริษัทให้ชัดเจน เพื่อส่งเสริมธุรกิจของคุณ
 
15. A/B Testing
 
คุณและคนอื่นๆ ในทีมอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันว่าอาร์ทเวิร์กแบบไหนจะได้ผลที่สุดสำหรับการลงโฆษณาในช่วงเทศกาลสิ้นปีแบบนี้ อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นชนวนสร้างความบาดหมาง เรามาเริ่มทำการทดลองแบบ A/B Test กันแทนดีกว่า
 
บริษัทส่วนใหญ่ถึง 61% ทำการทดลองแบบนี้ไม่น้อยกว่า 5 การทดลองต่อเดือน ดังนั้น อย่าลืมใช้เทคนิคนี้เพื่อค้นหาว่ารูปแบบการโฆษณาหรือการตลาดแบบใดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุด แล้วการสั่งซื้อสินค้าของคุณจะเพิ่มขึ้นโดย Cost Per Acquisition ลดลง