เติบโตจนชนเพดาน Apple คาดยอดขายลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ปี

แอปเปิล (Apple) คาดว่าบริษัทกำลังพบกับภาวะยอดขายลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ปี ผลจากยอดจัดส่งไอโฟนที่เติบโตน้อยที่สุด เพราะพิษเศรษฐกิจจีน สะท้อนว่ายุคทองแห่งอาณาจักรแอปเปิลอาจกำลังถึงจุดอิ่มตัว
 
คำคาดการณ์นี้ของแอปเปิลสอดคล้องต่อความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้น ที่มองว่าแอปเปิลยังไม่มีสินค้าสำคัญขึ้นมาทำตลาดแทนไอโฟน โดยสินค้าใหม่อย่างแอปเปิลวอตช์นั้นยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งแม้แอปเปิลจะยังไม่เปิดเผยยอดขายนาฬิกาอัจฉริยะ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ว่า แอปเปิลวอตช์ไม่ได้เป็นกระแสร้อนในสังคมเหมือนที่ไอโฟนทำได้
 
เช่นเดียวกับรถอัจฉริยะ แม้ว่าจะมีข่าวลือมากมายยืนยันว่า แอปเปิลกำลังเร่งมือพัฒนารถไร้คนขับจริง แต่ทั้งหมดก็เป็นข่าวที่ไม่มีการยืนยันใดๆ
 
ทั้งหมดนี้ทำให้หุ้นของแอปเปิลลดลง 5% ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนจะลดลงอีก 2.6% เมื่อแอปเปิลออกแถลงการณ์เองว่า ยอดขายบริษัทอาจลดลงในไตรมาสปัจจุบัน
 
3 เดือนขายไอโฟน 74 ล้านเครื่อง
 
สำหรับไตรมาสที่ผ่านมา แอปเปิล แถลงว่า สามารถจำหน่ายไอโฟนได้มากกว่า 74.8 ล้านเครื่อง โดยยอดจัดส่งไอโฟนในไตรมาสนี้คิดเป็นอัตราการเติบโตเพียง 0.4% เท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ไอโฟนเปิดตัวมาในปี 2007
 
ไตรมาสที่ผ่านมาเป็นไตรมาสที่ถูกแอปเปิลขีดเส้นสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2015 ถือเป็นไตรมาสแรกในงบการเงินปี 2016 ซึ่งแอปเปิลวางจำหน่ายไอโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone 6S และ 6S Plus เต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอแอปเปิล ยอมรับว่า ตัวเลขยอดขายในไตรมาสดังกล่าวเป็นไปตามความคาดการณ์ของบริษัท เนื่องจากพบว่าผู้ใช้ไอโฟน 6 ราว 60% ยังรีรอไม่เปลี่ยนมาใช้ iPhone 6S
 
อย่างไรก็ตาม ทิม คุก เชื่อว่า ในวิกฤตนี้ยังมีโอกาสรออยู่ เนื่องจากโอกาสที่แอปเปิลจะทำเงินจากผู้ใช้กลุ่มนี้ยังไม่หนีไปไหน เบื้องต้น การสำรวจจากสำนักรอยเตอร์ (Reuters/Ipsos) ชี้ว่า ผู้ใช้ไอโฟน 86% จะยังซื้อไอโฟนต่อไป
 
ตัวเลขผลประกอบการแอปเปิลชี้ว่า ยอดจำหน่ายจากจีนแผ่นดินใหญ่นั้นลดลง 14% โดยรายได้รวมตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาของแอปเปิลนั้นมีมูลค่า 7.59 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ บนกำไรสุทธิ 1.84 ล้านเหรียญ คิดเป็น 3.28 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
 
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าใกล้เคียงมากกับรายได้รวม 7.46 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และกำไร 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.06 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา